รวมรางวัล TSS REFRACTORY
2017-05-06_172346
ALL-AWARD-TSS-REFRACTORY-BANNER
สีหมวกเซฟตี้ และหมวกนิรภัยมีความหมายกันอย่างไร
สีหมวกเซฟตี้ และหมวกนิรภัย มีความหมายกันอย่างไร
กรกฎาคม 24, 2021
พลาสติกทนไฟ
พลาสติกทนไฟ Plastic Refractories
กุมภาพันธ์ 11, 2021

PWHT – Post welded heat treatment การรักษาความร้อนหลังการเชื่อม

PWHT Post welded heat treatment การรักษาความร้อนหลังการเชื่อม

PWHT – Post welded heat treatment การรักษาความร้อนหลังการเชื่อม

PWHT Post welded heat treatment การรักษาความร้อนหลังการเชื่อม

 

PWHT การรักษาความร้อนหลังการเชื่อม (Post Weld Heat Treatment หรือ PWHT) เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญและถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ โรงงานปิโตรเคมี หม้อน้ำแรงดัน โรงกลั่น เป็นต้น เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางกลและทางโลหะวิทยาของวัสดุที่ผ่านการเชื่อม กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการทำให้วัสดุที่ผ่านการเชื่อมร้อนขึ้นไปยังอุณหภูมิที่ต่ำกว่าอุณหภูมิการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างระดับต่ำสุด จากนั้นจะถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมินั้นเป็นระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งการทำ PWHT นี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลด ความเค้นตกค้าง (Stress) และปรับปรุงโครงสร้างระดับจุลภาคของวัสดุเพื่อให้มั่นใจได้ว่าชิ้นงานมีความแข็งแรง ทนทาน และปลอดภัยในการใช้งานตามที่ออกแบบไว้

 

 

กรรมวิธีทางความร้อนหลังการเชื่อม

การใช้ PWHT ช่วยลดความเค้นตกค้างได้เป็นอย่างดี

ในกระบวนการเชื่อม มักจะเกิดความชันของอุณหภูมิสูงระหว่างโลหะเชื่อมและวัสดุแม่ ซึ่งนำไปสู่การเกิด ความเค้นตกค้าง (Stress) และการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างระดับจุลภาคที่อาจทำให้วัสดุมีความแข็งและเปราะมากขึ้น การใช้ PWHT ช่วยลดความเค้นตกค้างได้เป็นอย่างดี การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถเพิ่มความแข็งของวัสดุและลดความเหนียวและความยืดหยุ่นของแนวเชื่อม โดยวิธีการใช้แถบทำความร้อนพันรอบแนวเชื่อม (Heating Band) เพื่อให้ความร้อนเฉพาะจุด (Local Heat Treatment) ให้ถึงระดับที่ยอมรับได้สำหรับการออกแบบ ทำให้ชิ้นงานที่ผ่านการเชื่อมมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีระดับ ความเครียด (Strain) ที่สูงและมีความเสี่ยงต่อการเกิดการกัดกร่อนจากความเค้น

การทำเช่นนี้ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของผิวที่ถูกตัดหรือแนวเชื่อม อย่างไรก็ตาม ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกหลายประการ จากการใช้วิธีนี้ ซึ่งได้แก่

  • ปรับปรุงความเหนียวของวัสดุ
  • ลดโอกาสการเกิดการแตกหักเปราะ
  • ทำให้โลหะที่ผ่านการอบอ่อนมีความเหนียวขึ้น
  • ปรับปรุงและในบางกรณีลดความแข็งของโลหะลง
  • ปรับปรุงคุณสมบัติทางโลหะวิทยา
  • ป้องกันการเกิดรอยแตกร้าวที่เกิดจากไฮโดรเจนโดยการกำจัดไฮโดรเจนในเนื้อโลหะออก

 

การเชื่อมเหล็กที่หนามากๆ ถ้าปล่อยให้มันเย็นตัวโดยธรรมชาติ​ บางครั้งมันเย็นตัวเร็วเกินไปในบางส่วน​ไม่ทั่วถึง​ ทำให้อุณหภูมิ​มันแตกต่างกันจนเกิดหน่วยแรงขึ้นเป็น residual stress ขึ้นทำให้เหล็กมันเปราะ​และไม่มีความเหนียวเพียงพอ​ (toughness)​

ในปัจจุบันเลยต้องทำการปรับปรุง​รอยเชื่อมเพื่อลด​ Residual Stress เรียกว่า​ Post Welded Heat Treatment (PWHT)

โดยอาจจะทำหลังจากเชื่อมเสร็จทันที​หรือเว้นเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ได้​ ด้วยการให้ความร้อนบริเวณที่มีผลจากรอยเชื่อม​ แล้วค้างไว้ระยะเวลาหนึ่ง​ จากนั้น​ค่อยๆ​ ปล่อยให้ลดลงในอัตราที่ควบคุม


ขอบเขตการทำ PWHT ของท่อตามมาตรฐาน ASME B31.3

"ขอบเขตการทำ

  • การให้ความร้อนเฉพาะจุด (Local Heat Treatment) โดยการให้ความร้อนเป็นแถบรอบรอยเชื่อมที่อุณหภูมิการทำ PWHT (Soak Band) ต้องมีความกว้างอย่างน้อย 3 เท่าของความหนาผนังท่อที่รอยเชื่อม โดยมีรอยเชื่อมอยู่ตรงกลาง
  • สำหรับรอยเชื่อมหัวจ่ายและอุปกรณ์ประกอบ (Nozzle & Attachment Welds) พื้นที่ Soak Band ต้องมีความกว้างอย่างน้อย 2 เท่าของความหนาท่อหลักในแต่ละด้านของรอยเชื่อม และขยายครอบคลุมรอบท่อหลัก

 

ขอบเขตการทำ PWHT สำหรับการให้ความร้อนเฉพาะจุด

"ขอบเขตการทำ

หรือที่เรียกว่า (Local Heat Treatment)

  • รอยเชื่อมวงรอบ (Circumferential Weld) พื้นที่อบอ่อนต้องมีความกว้างมากกว่า 3 เท่าของความหนาส่วนที่หนาที่สุด โดยที่รอยเชื่อมอยู่ตรงกลาง
  • รอยเชื่อมหัวจ่ายและอุปกรณ์ประกอบ (Nozzle & Attachment Weld) พื้นที่อบอ่อนต้องมีความกว้างมากกว่า 2 เท่าของความหนาท่อหลักในแต่ละด้านของรอยเชื่อม และขยายครอบคลุมรอบท่อหลัก

 

ในงาน Offshore Fabrication​ ปกติเหล็กสำหรับ​โครงสร้าง​หลักที่หนาเกิน 50 mm โดยประมาณ (แต่ละมาตรฐาน​ก็ไม่เหมือนกัน​ ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง​ 40-60​ mm) จะต้องทำ PWHT​

ซึ่งอาจจะขึ้นกับเกรดเหล็กด้วย​

เหล็กที่กำลังต่ำ​ เช่น​ Fy < 500​ MPa อาจจะต้องเริ่มทำ PWHT​ ที่ความ​หนา​ 50​ มม​ ขึ้นไป​

เหล็กกำลังสูง​ เช่น​ Fy > 500​ MPa​ หนากว่า​ 20​ มม​ ก็อาจจะต้องทำ​ PWHT​ แล้ว​

ในบางมาตรฐาน​ก็ใช้​ Stress​ Concentration Factor มาใช้ในการกำหนดว่าต้อง​ทำ​ PWHT​ หรือไม่ด้วย

การจะยกเว้นการทำ​ PWHT​ นั้นจะต้องพิสูจน์​ทางวิศวกรรมด้วยการทำ​ Fracture Mechanic Analysis เพื่อพิสูจน์​ว่ารอยเชื่อมมีความเหนียวเพียงพอ

​ปกติจะดูที่ค่า​ CTOD (Crack Tip Opening Displacement) ซึ่งต้องต่ำกว่าค่ามาตรฐาน​ จึงจะยกเว้น​ PWHT​ requirement ได้

 

ข้อกำหนดที่ระบุไว้ในโค้ดหม้อน้ำแรงดันและท่อต่างๆ

ข้อกำหนดที่ระบุไว้ในโค้ดหม้อน้ำแรงดันและท่อต่างๆ ASME Section Vlll และ ASME B31.3

ด้วยเหตุนี้ โค้ดและมาตรฐานอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น ASME Section VIII และ ASME B31.3 จึงมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการทำ PWHT สำหรับวัสดุบางชนิดและความหนาที่กำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าการออกแบบและการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน

ASME Section VIII

  • เป็นส่วนหนึ่งของ Boiler and Pressure Vessel Code (BPVC) ของ American Society of Mechanical Engineers (ASME)
  • มาตรฐานนี้ครอบคลุมถึงการออกแบบ การผลิต และการตรวจสอบหม้อน้ำและภาชนะความดัน

แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ

  • Division 1: กำหนดการออกแบบและการก่อสร้างภาชนะความดัน
  • Division 2: ครอบคลุมการออกแบบขั้นสูงและการวิเคราะห์
  • Division 3: ใช้สำหรับภาชนะความดันสูง

 

ASME B31.3

  • เป็นมาตรฐานสำหรับการออกแบบและการก่อสร้างระบบท่อแรงดัน (Pressure Piping) ในโรงงานปิโตรเคมีและโรงงานเคมี
  • มาตรฐานนี้ครอบคลุมถึงการออกแบบ วัสดุ การก่อสร้าง การทดสอบ และการตรวจสอบระบบท่อแรงดัน
  • เป็นส่วนหนึ่งของ ASME B31 Code for Pressure Piping ซึ่งประกอบด้วยมาตรฐานต่าง ๆ สำหรับการใช้งานที่แตกต่างกัน

วันสต็อปเซอร์วิส

ติดต่อไลน์
shopee linklazada link

ทางบริษัทฯ TSSREFRACTORY มีฉนวนกันความร้อนหลากหลายรุปแบบ และวัสดุทนความร้อนทุกชนิด ตามลักษณะอุตสาหกรรม ของคุณลูกค้าสามารถติดต่อสอบถาม ได้ที่ ไลน์ @tssrefractory หรือโทร 081 406 2377
Facebook  : https://www.facebook.com/tssrefractory/

Top